Monday, February 7, 2011

ทำบุญกับชี

วันนี้ตั้งใจจะไปทำบุญกับพระสักรูป ซึ่งมีความตั้งใจแต่แรกว่าจะไปที่วัดเดียวกันกับวัดที่น้องสาวที่เพิ่งรู้จักไป แถว บ้านวังศาล แต่เมื่อไปถึงวัดที่คิดว่าใช่ ความรู้สึกกลับบอกตัวเองว่าไม่ใช่วัดที่คาดหวัง เพราะเข้าใจว่า วัดที่น้องไปน่าจะเป็นวัดเล็กๆอยู่ห่างจากชุมชน แต่พอไปถึงต้องเลี้ยวกลับแบบไม่คิดอะไรมาก เพราะวัดนั้นเป็นวัดที่ดูเหมือนมีญาติโยม พุทธบริษัท มาทำบุญมากพอสมควร ขอบเขตพัทสีมากว้างขวาง หลังจากกลับรถมุ่งสู่ทางเดิม พยายามมองหาวัดทางขวามือ ที่เพิ่งผ่านมา แล้วก็มองเห็นวัดที่ต้องการ เป็นวัดเล็กๆมองเห็นไกลเหมือนกำลังสร้างใหม่ ตัดสินใจว่าจะไปทำบุญกับวัดนี้ แต่กว่าจะไปถึงก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะหลงทางไปเกือบ 2 กิโล วัดนี้ ชื่อว่าวัดเนินคายสามัคคี(น่าจะเกิดจากความสามัคคีของญาติโยมที่ต้องการให้มีวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงร่วมใจกันสร้างวัด) อยู่บ้านเนินคาย ต.วังศาล อ.วังโป่ง สภาพของวัดเป็นวัดที่สร้างได้ไม่นาน มีกุฏิพระอยู่ 1 หลัง ไม่มีพระอุโบสถมีเพียงศาลา วัดที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พอถึงมุ่งตรงไปที่กุฏิพระโดยสังเกตที่มีผ้าสีเหลืองพาดอยู่กับราว แต่กลับไม่มีพระอยู่ ขณะนั้นสายตาเหลือบไปเห็นกระท่อมเล็กๆเก่าๆหลังหนึ่ง มองไกลๆมีผู้หญิง นุ่งขาวห่มขาวทำอะไรสักอย่างที่ชานกระท่อม มุ่งตรงไปทันทีพอเข้าใกล้จริงรู้ว่าเป็นแม่ชี แก่ๆ นุ่งขาว ห่มขาว เก่ามากจนสีออกนำตาล รอยใช้เข็มแบบเย็บมือห่างๆปะ ผ้าให้ติดกัน โกนหัว โกนคิ้ว กำลังนั่งล้างถ้วยชามอยู่ จึงเข้าไปถามเกี่ยวกับพระ ซึ่งท่านไม่อยู่ ไม่รู้กลับเมื่อไหร่ ด้วยความตั้งใจที่จะทำบุญ ก็บอกกับตนเองว่า ไม่เป็นไรพระไม่อยู่ทำบุญ กับชีก็ได้ ก็เลยถวายของและปัจจัยที่พี่สาวฝากมาไปให้ยายที่เพิ่งเสียไปผ่านทางแม่ชี
หลังจากได้คุยกับแม่ชีประมาณ 2 นาที ท่านบอกว่าท่านเคยตายมาแล้วแต่ฟื้นซึ่งประโยคนี้ได้กระตุ้น ต่อมความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที แม่ชีจึงบอกให้เอาแจกัน เชิงเทียนที่นำมาถวาย ไปไว้ที่ศาลา ซึ่งท่านบอกว่า ในศาลามีสังขารพระชรารูปหนึ่งที่มรณะภาพได้ไม่นานเก็บไว้ในโลงรอเวลาฌาปนกิจ ดูตามฉากผ้าข้างหลังท่านอายุ 97 ปี พรรษา 21 คือบวชมา21 พรรษา พอวางแจกันเคารพศพพระก็นั่งคุยกับแม่ชีต่อ
ท่านบอกว่าท่านชื่อบาง อายุ 84 ปี เป็นคน ต.สากเหล็ก จ.พิจิตร พอแต่งงานก็ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่บ้านห้วยงาช้าง อ.ชนแดน สาเหตุของการออกบวช คือ ตอนที่ท่านอายุได้ 57 ปีท่านป่วยหนัก จนหมอรักษาไม่ไหวบอกให้ญาติทำใจ เพราะอวัยวะภายในของท่านทุกอย่างล้มเหลวหรือตายหมดแล้ว รอเพียงญาติมาครบ จะได้ถอดเครื่องช่วยหายใจ ท่านจะได้หลับอย่างสงบ ซึ่งช่วงที่รอญาติอยู่นั้นเป็นเวลาประมาณ 2 วัน1 คืน แต่พอน้องสาวคนสุดท้ายของท่านมาท่านกลับฟื้นและเล่าให้ฟังว่า ท่านได้ถูกผู้ชายแต่งตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดานี่แหละ 4-5 คน(ท่านเข้าใจว่าเป็นยมทูต) ให้เชือกมัดมือของท่านติดกันแล้วลากท่านไปในป่าคนอยู่ข้างหลังก็คอยเฆี่ยนคอยตีให้ท่าเดินเร็วๆ ด้วยความที่ท่านไม่สบายก็ถูกลากไป จนแขนเสื้อขาดรุ่งริ่ง มีบาดแผลเลือดไหลจากแขนทั้ง 2ข้าง พอไปถึงที่ที่หนึ่ง ท่านก็เห็น ผู้ชายคนหนึ่งตัวใหญ่มากใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำ นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสูงในมือถือ สมุดเล่มใหญ่หนึ่งเล่ม(ท่านเรียกว่ายมบาล) แล้วสั่งให้ยมทูตพาท่านเดินรอบกะทะทองแดง 3 รอบ ซึ่งในกะทะทองแดงจะมีน้ำต้มเดือดสีเหมือนไฟ แล้วก็จะมีคนที่มีหัวแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนมีหัวเป็นไก่ บางคนมีหัวเป็นหมู บางคนมีหัวเป็นควาย ท่านบอกว่าการที่คนเหล่านี้มีหัวต่างกันเพราะในสมัยที่เป็นคนได้ฆ่าสัตว์แตกต่างกัน บางคนฆ่าไก่หัวก็เป็นไก่ บางคนฆ่าควายหัวก็เป็นควาย เป็นต้น หลังจากนั้นก็ถามท่านว่าอยากเห็นเรื่อน(กระท่อม)ของท่านรึเปล่า (เรือน(กระท่อม)หลังนี้ท่านเคยสร้างถวายตอนที่เป็นสาว) ท่านบอกว่าอยากเห็น ยมบาลก็เลยให้ ยมฑูต พาท่านไปดูเรือนให้ท่านเดินรอบเรือน 3 รอบ สิ่งที่ท่านสังเกตเห็นภายในเรือน คือ สิ่งของทุกอย่างที่ท่านเคยทำบุญมาจะอยู่ภายในเรือนแห่งนี้ทั้งหมด ท่านจึงสอนว่าทำไปเถอะบุญสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหนมันจะรอเราอยู่เมื่อเราตายไป หลังจากนั้นยมบาลก็ถามท่านว่า อยาก อยู่บนเรือนนี้มั๊ย ท่านบอกว่าไม่ จากนั้นท่านก็ถูกโยนขึ้นมาบนเครื่องบิน ซึ่งในเครื่องบิน ก็จะมีรัชกาล ที่ 2 รัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 (หลังจากที่ฟังมาถึงตรงนี้เริ่มเกิดความสงสัยเกี่ยวกับสติของแม่ชีแต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร )จากนั้นท่านก็ตื่น เห็นลูกหลานนั่ร้องไห้กันเต็ม ท่านจับดูเสื้อผ้าก็ไม่ขาด รอยแผลก็ไม่มี หลังจากนั้นท่านก็รักษาตัวพอหาย ก็มีพระแนะนำให้ท่านบวช อยู่ที่วัดแถวบ้านห้วยงาช้าง ทีแรกท่านกะบวชประมาณ 9 วัน แต่พอวันที่จะสึกท่าน ท่านก็เห็นพระรูปหนึ่งตัวผอมและสูงมากเดินออกมาจากจอมปลวก มาถามท่าน ว่าจะสึกจริงหรือท่านก็บอกว่าสึกจริงถามย้ำคำถามเดียว 3 ครั้งท่านก็ยืนยัน ว่าจะสึกทั้ง3 ครั้ง จากนั้นพระรูปนั้นก็ให้ท่านก้มห้วแล้วก็เป่าลมผ่านศรีษะท่าน ตอนที่ลมกำลังผ่านท่านรู้สึกว่าลมนั้นเย็นมากคล้ายๆกับเอานำแช่นำแข็งมาราดไปทั่วตัวท่าน แล้วก็บอกกับท่านว่า อย่าสึกเลยอยู่จนตายคาผ้าขาวนี้แหละ จากนั้นท่านก็ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจทำให้ท่านไม่อยากที่จะสึก จนถึงวันนี้ก็ล่วงเลยมา 27 ปีแล้ว ที่ท่านอยู่ในชุดนี้เคยไปอยุ่หลายวัดแถวโคราชมาอยู่ที่วัดนี้ได้ประมาณ 8 ปี
ด้วยความที่ยังสงสัยว่ายายจะได้รับของที่ถวายไปให้หรือไม่เพราะเราไม่ได้ถวายกับพระซึ่งถือว่าเป็นผู้ทรงศีล จึงถามท่านว่า แล้วท่านปฏิบัติตัวอย่างไร ท่านก็บอกว่าปฏิบัติตัวเหมือนพระบ้านทั่วไป คือฉันวันละ 2 มื้อ สวดมนต์ทำวัตร เหมือนพระ ตามหลักแล้วศีลสำหรับภิกษุณีมี310 ข้อ มากกว่าพระซึ่งถือ 227 ข้อ แต่นี่คือ ชีไม่ใช่ภิกษุณี ทำให้ไม่ต้องเคร่งครัดมากขนาดนั้นอีกทั้งสภาพสังคมเปลี่ยนไปจากสมัยพุทธกาลเยอะมากไม่มีพระรูปไหนถือศีลได้ครบ ตรงนี้จึงไม่คิดอะไรมาก อีกทั้งมีเจตนาที่บริสุทธิ์ของที่นำมาถวายก็บริสุทธิ์และใจตอนนั้นก็คิดว่าผู้รับก็บริสุทธิ์แม้จะไม่สามารถถือศีลครบก็ตาม แต่ก็กระดากบ้างที่ต้องกราบชีทั้งที่ตนเองเคยบวชเป็นพระมาก่อน แต่ก็ไม่เป็นไร จากนั้นก็ลาท่านกลับ
หลังจากออกจตัววัดมาถึงถนนสายหลัก (มุ่งสู่ อ.วังโป่ง) ได้ไม่นานก็เกิดเหตุการเหนือธรรมชาติเกิดขึ้น เพราะช่วงที่กำลังขี่รถมอเตอร์ไซ อยู่นั้น มีเลียงและลมพัดคล้ายกับมีนกตัวใหญ่มากบินโฉบจากข้างหลังผ่านหัวไป ความแรงต้องแรงมากเพราะ สัมผัสถึงความเย็นได้ทั้งๆที่สวมหมวกกันน็อคแบบครอบทั้งหัวอยู่ จากนั้นก็มีเสียงเหมือนคนสะบัดผ้าผ่านตรงหน้า 2 ครั้งเสียงดังมากกว่าเสียงมอไชค์ที่กำลังวิ่งอยู่ด้วยซ้ำ สายตาพยายามเหลียวหานกตัวนั้น และดูที่มาของเสียงว่ามาจากไหนก็ไร้ร่องรอย จึงได้แต่ทำความเข้าใจไปเองว่าท่นนต้องบอกอะไรสักอย่าง พอขี่รถไปสักพักก่อนถึงก่อนถึงโรงรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร อยู่ดีๆยางรถก็รั่วขึ้นมาเฉยๆ สุดท้าย ต้องขี่รถบดยางกลับไปยังร้านซ่อมรถหน้าปากทางเข้าวัด พอเติมลมดูจึงรู้ว่าดีแล้วที่ยางรถรั่วในตอนนี้เพราะ ถ้าหากรุ่วช้ากว่านี้หรือเร็วกว่านี้ คงต้องจูงอีกไกล เพราะทีแรกตั้งใจว่าทำบุญเสร็จจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านที่หล่มสักอยู่ ระยะทางก็ร้อยกว่ากิโล ถ้ารั่วระหว่างทางหรือรั่วบนเขาคงแย่
ถ้าหากไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปนี่อาจจะเป็นอานิสงฆ์ของการทำบุญ ทำให้เกิดลางบอกเหตุล่วงหน้าก่อนที่จะพบกับปัญหาใหญ่ เหมือนกับ ที่แม่ชีบอกว่า ทำเถอะบุญน่ะ ทำแล้วไม่ไปไหนหรอก ของเหล่านั้นจะไปรอเมื่อเราตายไป หรือ เหมือนกับที่ท่าน พระอาจารย์ จรัญ จิตธัมโมท่าสอนว่า การทำบุญก็หมือนกับการกินข้าวคนไหนทำคนนั้นก็ได้ คนไหนกินคนนั้นก็อิ่ม
สรุปแล้วการทำบุญกับชีท่านนี้แม้จะมีข้อสงสัยหลายอย่างแต่อย่างน้อยผลของการทำบุญก็ทำให้เราเจอกับปัญหาน้อยกว่าที่ควรจะเจอ ส่วนยายคงได้รับบุญแน่นอนเพราะคนให้เจตนาบริสุทธิ์ แม้จะมีข้อสงสัยอยู่บ้างก็ตาม ของที่ทำก็บริสุทธิ์ และชีก็ถือท่านมีเจตนาบริสุทธิ์ที่สอนถึงการทำบุญแม้เรื่องราวที่ท่านเล่ามีบางเหตุการที่ไม่น่าเชื่อก็ตาม

No comments: